

.
ย้อนกลับไปในยุคกลางของยุโรป
ราวศตวรรษที่ 12-15 เมื่อมหาวิหารโกธิคเริ่มผุดขึ้นทั่วทวีป สถาปนิกยุคนั้นไม่เพียงสร้างอาคารที่สูงตระหง่าน แต่ยังต้องแก้ปัญหาธรรมชาติที่ท้าทาย—น้ำฝนและหิมะละลายที่ตกลงบนหลังคามหึมา 


.
สถาปนิกชาวฝรั่งเศสเป็นผู้คิดค้นและพัฒนา “การ์กอยล์” (Gargoyles)
ในช่วงปี ค.ศ. 1220 ที่มหาวิหารน็อทร์-ดาม เดอ ปารีส เดิมทีคำว่า “การ์กอยล์” มาจากเสียงน้ำไหลผ่านลำคอของรูปปั้น—”gargouiller” ในภาษาฝรั่งเศสโบราณ หมายถึง “เสียงน้ำไหลกระซิบกระซาบ” 


.
สัตว์ประหลาดที่ยื่นออกจากผนังเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้ายตามความเชื่อ
แต่ทำหน้าที่เป็นท่อระบายน้ำที่ชาญฉลาด ปากเปิดกว้างช่วยพ่นน้ำฝนให้ไกลจากฐานอาคาร ป้องกันการกัดเซาะของน้ำที่จะทำลายรากฐานหินปูนอันสำคัญ 


.
มหาวิหารโกธิคที่สมบูรณ์ เช่น มหาวิหารไรมส์ในฝรั่งเศส มีการ์กอยล์มากกว่า 400 ตัว
วางตำแหน่งอย่างพิถีพิถันตามหลักวิศวกรรมชั้นสูง แต่ละตัวรับผิดชอบพื้นที่ระบายน้ำเฉพาะ ไม่ให้น้ำไหลรวมกันมากเกินไป 


.
ไม่เพียงแค่การ์กอยล์ สถาปนิกยังออกแบบร่องรางน้ำซ่อนเร้นในเสาค้ำยัน (Flying Buttresses)
ช่วงปี ค.ศ. 1300 นวัตกรรมนี้ช่วยให้มหาวิหารสูงยิ่งขึ้นโดยไม่พังทลาย พร้อมกับซ่อนท่อระบายน้ำภายในโครงสร้างที่ดูเหมือนมีไว้เพื่อความงามเพียงอย่างเดียว 


.
หลังคาทรงสูงชันมุมเกือบ 60 องศา
เป็นอีกหนึ่งเทคนิคชั้นเชิงของช่างฝีมือยุคกลาง ช่วยให้น้ำและหิมะไหลลงอย่างรวดเร็ว ป้องกันน้ำไหลย้อนกลับเข้าโครงสร้าง ขณะที่การใช้แผ่นตะกั่วและทองแดงมุงหลังคา
ที่พัฒนาขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1400 ก็กลายเป็นมาตรฐานที่ใช้กันมายาวนานกว่า 600 ปี 



.
ภูมิปัญญาโบราณเหล่านี้ยังคงมีค่าในปัจจุบัน
เช่นเดียวกับที่อินเตอร์ปลั๊กนำหลักการ “ความงามที่ใช้งานได้จริง” ของสถาปนิกยุคกลางมาประยุกต์กับเทคโนโลยีกันซึมสมัยใหม่ 


.


.